สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 22-28 กรกฎาคม 2567

 

ข้าว
 
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2567/68 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.123 ล้านไร่ ผลผลิต 27.035 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 435 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566/67 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.215 ล้านไร่ ผลผลิต 26.833 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 431 กิโลกรัม เนื้อที่เพาะปลูกลดลงร้อยละ 0.15 ในขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 และร้อยละ 0.93 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะลดลง เนื่องจากเกษตรกร    มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน หรือมันสำปะหลัง สำหรับผลผลิตและผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ว่าปรากฎการณ์เอลนีโญเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 หลังจากนั้นมีความน่าจะเป็นร้อยละ 49 ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2567 ส่งผลให้คาดว่าจะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และจะไม่กระทบแล้งและประสบอุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ประกอบกับเกษตรกรมีการดูแลรักษาผลผลิตดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - พฤษภาคม 2568 โดยคาดว่าผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 ปริมาณ 17.668 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 65.34 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ทั้งนี้ เดือนกรกฎาคม 2567 คาดว่ามีผลผลิตออกสู่ตลาดปริมาณ 0.095 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.35 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.671 ล้านไร่ ผลผลิต 6.217 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 10.606 ล้านไร่ ผลผลิต 6.918 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 652 กิโลกรัม ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก ปี 2566 ร้อยละ 8.81 ร้อยละ 10.14 และร้อยละ 1.38 ตามลำดับ โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ภาวะเอลนีโญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ถึง เมษายน 2567 ทำให้ฝนมาล่าช้า ฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้การได้ทั่วทั้งประเทศปี 2566 ลดลงจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 8.40 และน้ำต้นทุน    ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูนาปรัง ประกอบกับทางภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อาทิ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง เกษตรกรบางรายจึงปล่อยพื้นที่ว่างหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ และในบางพื้นที่ประสบปัญหาโรคขอบใบแห้ง ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี เมล็ดข้าวไม่สมบูรณ์
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยเดือนกรกฎาคม 2567 ผลผลิตออกสู่ตลาด ปริมาณ 0.177 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นร้อยละ 2.84 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าเหลือผลผลิตในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2567 อีก 0.036 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 0.58 ของผลผลิต    ข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,020 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 15,003 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,754 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,029 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.49
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 34,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน    
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 19,650 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 19,250 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.08
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 909 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,649 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 913 ดอลลาร์สหรัฐฯ (32,731 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.44 และลดลงในรูปเงินบาท
ตันละ 82 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 592 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,263 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 584 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,936 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.37 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 327 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 584 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20,976 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 587 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21,044 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 68 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.9177 บาท
2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
1) เวียดนาม
กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (เดือนมกราคม - มิถุนายน) เวียดนามส่งออกข้าว 4.68 ล้านตัน มูลค่า 2,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 107,035 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 104 และร้อยละ 32 ตามลำดับ โดยฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม หรือคิดเป็นร้อยละ 35 – 40 ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ทั้งนี้ อุตสาหกรรมข้าวของเวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในด้านการผลิต การบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก ตามสถานการณ์ตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งเวียดนามให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพ ลดต้นทุน ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ลดการปล่อยมลพิษ สร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ ขยายตลาดส่งออก และสร้างแบรนด์ข้าวที่ยั่งยืนในตลาดต่างประเทศ การผลิตข้าวมีบทบาทสำคัญในการสร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารของประเทศและในภูมิภาค ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคม และยกระดับสถานะของเวียดนามในระหว่างประเทศด้วยกลยุทธ์การเกษตรและการพัฒนาชนบทที่ยั่งยืนภายใน       ปี 2573 พร้อมวิสัยทัศน์ถึงปี 2588 และเวียดนามตั้งเป้าไปที่ห่วงโซ่คุณค่าการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปล่อยมลพิษต่ำ
ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
          หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35.9177 บาท
 
2) ฟิลิปปินส์ – เวียดนาม
นาย Francisco Tiu Laurel Jr รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าว 2.17 ล้านตัน เป็นการนำเข้าจากเวียดนาม 1.59 ล้านตัน ขณะที่สำนักงานอุตสาหกรรมพืช กรมวิชาการเกษตรของฟิลิปปินส์ (Department of Agriculture’s Bureau of Plant Industry: DA-BPI) คาดว่าการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ในปี 2567 จะสูงถึง 4 ล้านตัน ซึ่งปัจจุบันฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นเพื่อเก็บสต็อกไว้ เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความมั่นคงด้านอาหารและผลกระทบของสภาพอากาศต่อการผลิตข้าวในอนาคต ประกอบกับการผลิตข้าวในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
ในการนี้ ฟิลิปปินส์จึงต้องการเสริมความร่วมมือกับเวียดนามซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์มานานหลายปี รวมถึงต้องการให้บริษัทข้าวของเวียดนามพิจารณาการลงทุนในฟิลิปปินส์เพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารของประเทศหลังจากมีความต้องการข้าวมากขึ้น ประกอบกับอุปทานข้าวภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปี โดยฟิลิปปินส์ขอให้เวียดนามจัดตั้งพันธมิตรอุตสาหกรรมข้าวระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ทางการค้าข้าวกลายเป็นหุ้นส่วนการลงทุน รวมทั้งศึกษาและนําเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากเวียดนาม เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเพาะปลูกข้าวในฟิลิปปินส์ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้เวียดนามสามารถส่งเทคโนโลยีที่เหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่การผลิตข้าวของฟิลิปปินส์ แทนการส่งออกข้าวสีเพียงอย่างเดียว
          ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ

 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
 

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดในประเทศช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.93 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.94 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5%
สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.72 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน           
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ  12.20 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 12.50 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.40 ส่วนราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 345.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,401.00 บาท/ตัน)  ลดลงจากตันละ 354.00 ดอลลาร์สหรัฐ (12,677.00 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.54 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 276.00 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2567 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 401.00 เซนต์ (5,742.00 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 393.00 เซนต์ (5,614.00 บาท/ตัน)
ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.04 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 128.00 บาท
 

 



มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.682 ล้านไร่ ผลผลิต 26.883 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,096 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2566
ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.268 ล้านไร่ ผลผลิต 30.617 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3,303 กิโลกรัม พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 6.32 ร้อยละ 12.20 และร้อยละ 6.27 ตามลำดับ
โดยเดือน กรกฎาคม 2567   คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.40 ล้านตัน (ร้อยละ 1.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2567 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปริมาณ 15.72 ล้านตัน (ร้อยละ 58.46 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
เป็นช่วงปลายฤดูการเก็บเกี่ยว หัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อย หัวมันสำปะหลังมีคุณภาพลดลงเนื่องจากฝนตกในหลายพื้นที่ จึงทำให้มีสิ่งเจือปนสูงและเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งต่ำ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.94 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 1.95 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.51
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.26 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.90 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 6.10
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ8.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขตกรุงเทพ และปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 18.03 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 18.14 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.61
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 245.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,870 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน ตันละ 245.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,850 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 517.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,730 บาทต่อตัน)  ราคาลดลงจากตันละ 519.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (18,760 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.38


 


ปาล์มน้ำมัน
 


อ้อยและน้ำตาล
 
 1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ     
         - ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
         - สถาบันวิจัย Hedgepoint Global Markets ปรับเพิ่มคาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบในภาคกลาง – ใต้ของประเทศบราซิลปี 2567/2568 จาก 613 ล้านตัน เป็น 620 ล้านตัน แต่ปรับลดปริมาณสัดส่วนอ้อยที่นำไปผลิตน้ำตาลลงจากร้อยละ 51.20 เหลือร้อยละ 50.30 เนื่องจากโรงงานต่างๆ ได้ปรับไปผลิตเอทานอลเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากคุณภาพอ้อยที่ต่ำลง ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ำตาลในภาคกลาง – ใต้ของบราซิลลดลงเหลือ 41.30 ล้านตัน จากที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 41.60 ล้านตัน
          - รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินเดีย รายงานการสำรวจเศรษฐกิจปี 2567 ว่า การห้ามส่งออกน้ำตาลของประเทศอินเดียส่งผลให้ราคาน้ำตาลภายในประเทศของอินเดียยังคงมีเสถียรภาพท่ามกลางราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ผันผวน โดยรายงานเตือนว่า การห้ามส่งออกน้ำตาลดังกล่าวของรัฐบาลอินเดียได้ก่อให้เกิดต้นทุนทางการเงินที่สูง
แก่โรงงานน้ำตาล และเกษตรกรชาวไร่อ้อย ด้านผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งมีความเห็นสอดคล้องว่า อุตสาหกรรมน้ำตาลของอินเดียจ่ายภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นการรักษาราคาน้ำตาลภายในประเทศให้ยังคงอยู่ในระดับต่ำได้ และเสริมว่า รัฐบาลอินเดียอาจมีการอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลได้ประมาณ 2 ล้านตันในปีนี้ หากประเมินปริมาณน้ำตาลปัจจุบันในสต๊อกแล้วว่ามีเพียงพอ
          - โรงงานน้ำตาลธัมปูร์ (Dhampur) กล่าวว่า พบพื้นที่เพาะปลูกอ้อยกว่า 2,800 แห่ง จากการสำรวจพื้นที่เพาะปลูกอ้อย 80,000 แห่ง ในเมืองบิจนอร์ (Bijnor) ของรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) เป็นโรคเหี่ยวเน่าแดง (Red Rot)  โดยโรงงานน้ำตาลธัมปูร์ อธิบายว่า โรคเหี่ยวเน่าแดงได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วเนื่องจากฝนตกหนัก
ด้านสหกรณ์โรงงานน้ำตาลเฉิงกัลรายัน (Chengalrayan) ได้เรียกร้องให้โรงงานน้ำตาลของเอกชนหลีกเลี่ยงการซื้ออ้อยที่จัดสรรไว้สำหรับสหกรณ์โรงงานน้ำตาล




 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
สัปดาห์นี้ไม่มีการรายงานราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,107.88 เซนต์ (14.85 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 1,092.48 เซนต์ (14.56 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.41
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 347.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.66 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 336.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.16
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 45.83 เซนต์ (36.84 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 46.47 เซนต์ (37.16 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.38


 

 
ยางพารา
 
 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 25.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำคละ และถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 52.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 39.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 975.50 ดอลลาร์สหรัฐ (35.04 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 976.60 ดอลลาร์สหรัฐ (35.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 835.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.99 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 836.20 ดอลลาร์สหรัฐ (29.98 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,479.75 ดอลลาร์สหรัฐ (53.15 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,481.80 ดอลลาร์สหรัฐ (53.12 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1115.50 ดอลลาร์สหรัฐ (40.07 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 1116.80 ดอลลาร์สหรัฐ (40.04 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.12 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 857.50 ดอลลาร์สหรัฐ (30.80 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากตันละ 858.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.79 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.01 และเพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ


 

 
ถั่วลิสง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.05 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.50 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


 

 
ฝ้าย

 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2,050 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 2,144 บาทคิดเป็นร้อยละ 4.38 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,504 ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,624 บาทคิดเป็นร้อยละ 7.39 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 955 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

 
 

 
ปศุสัตว์

สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
 
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดค่อนข้างทรงตัว ขณะที่ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว        
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  69.38 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.81 คิดเป็นร้อยละ 0.83 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 64.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 65.70 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 71.82 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 71.52 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 2,000 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 1,900 คิดเป็นร้อยละ 5.26 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 75.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว     
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 41.05 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 42.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 40.75 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.00 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 17.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 43.50  บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 380 บาท  สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 378 คิดเป็นร้อยละ 0.53 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 341 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 362 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 396 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0 - 4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 432 บาท  ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 418 ลดลงจากร้อยฟองละ 420 คิดเป็นร้อยละ 0.48 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 438 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 432 บาท  ภาคกลางร้อยฟองละ 387 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 433 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 500 บาททรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา

โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 81.81 บาทลดลงจากกิโลกรัมละ 82.73 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.11 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 94.53 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.67 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 74.32 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 103.70 บาท

กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 60.06 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 58.24 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.12 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 92.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 53.87 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน

 

 

 
 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 22 – 28 กรกฎาคม 2567) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
 2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.13 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 60.16 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.97 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา   
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 81.17 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 81.69 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.52 บาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคลดลง
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา   
2.3 กุ้งกุลาดำ
ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 123.33 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 128.75 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 124.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.75 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.74 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีความต้องการบริโภคคงที่
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา   
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง)
ราคาที่ชาวประมงขายได้ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น
ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.08 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาปลาป่นขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา